เมืองนารา
วันนี้จะพาเพื่อน ๆ ไปทัวร์ญี่ปุ่น เมืองนารากัน เมืองนารา (Nara) เป็นเมืองหลวงแห่งแรกของประเทศญี่ปุ่น โดยสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1253 ก่อนหน้านั้นประเทศญี่ปุ่นยังไม่มีเมืองหลวงเป็นหลักแหล่ง ตามความเชื่อของลัทธิชินโตจะย้ายเมืิองหลวงทุกครั้งที่จักรพรรดิสิ้นพระชนม์ จนกระทั่งญี่ปุ่นรับความเชื่อทางพุทธศาสนาจากจีนมาเป็นศาสนาประจำชาติ จึงสร้างเมืองหลวงขึ้นที่นารา เมื่อพุทธศาสนาเข้ามาในญี่ปุ่น ก็สามารถผสมกลมกลืนกับลัทธิชินโต ซึ่งเป็นความเชื่อเก่าได้เป็นอย่างดี และแผ่กระจายไปทั่วประเทศ ต่อมาพระในพุทธศาสนาเริ่มมีอิทธิพลด้านการเมือง การปกครองเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พระจักรพรรดิคัมมูจึงทรงย้ายเมืองหลวงไปที่เกียวโต เพราะต้องการหลบหลีกจากอิทธิพลของพระเหล่านี้ นาราจึงเป็นเมืองหลวงเพียงแค่ 75 ปีเท่านั้น แต่ในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ ศิลปวัฒนธรรม ความเชื่อ และระบบการปกครองกลับหยั่งรากลึก และเป็นรากฐานอันสำคัญของประเทศญี่ปุ่นตราบจนทุกวันนี้ ทว่าการที่นาราหมดความสำคัญทางการเมืองกลับเป็นผลดีที่ช่วยให้เมืองนี้รอดพ้นจากภัยพิบัติ ทั้งสงครามกลางเมืองและสงครามโลก ทำให้เมืองนี้สามารถรักษาวัฒนธรรม ประเพณี และสถาปัตยกรรมไว้ได้เกือบจะครบถ้วน ในเมืองเล็ก ๆ เงียบ ๆ แห่งนี้ยังมีแหล่งมรดกโลกถึง 8 แห่ง กล่าวได้ว่าเมืองนาราจะเป็นรองอยู่ก็แค่เพียงเกียวโตเมืองเดียวเท่านั้นเอง และนี้คือเสน่ห์ของเมืองนาราที่น่าค้นหาอย่างยิ่ง วันนี้ผมจะมาพาเพื่อน ๆ มาทำความรู้จักกับสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองนารากันว่ามีอะไรที่น่าสนใจกันบ้าง เพื่อที่จะเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการเดินทางไปทัวร์ญี่ปุ่น เริ่มต้นที่
วัดโฮริวจิ (Horyuji)
นาราเป็นเมืองพุทธศาสนา สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงเป็นพิพิธภัณฑ์และวัดที่สำคัญทางพุทธศาสนา เริ่มจากวัดโฮริวจิ ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น ในวัดมีเจดีย์ไม้ที่เก่าที่สุดในโลก และเป็นต้นแบบของเจดีย์ไม้หลาย ๆ แห่งในเกียวโต โฮริวจิเป็นวัดแรกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เนื่องจากอยู่ไกล นักท่องเที่ยวจึงมักมองข้ามไป ผู้ที่ไปชมส่วนใหญ่เป็นักประวัติศาสตร์หรือสนใจพุทธศาสนา นอกจากเจดีย์ไม้แล้วยังมีพระพุทธรูปที่ล้ำค่ามากมาย
สวนสาธารณะนารา (Nara Koen)
อยู่ในเขตเมืองเก่านาราที่มีผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยม พื้นที่กว้างใหญ่กว่าตัวเมืองปัจจุบันมาก มีรถโดยสารวิ่งโดยรอบบริเวณ สวนนี้เป็นที่รู้จักกันว่าสวนกวาง เพราะมีฝูงกวางเชื่องมากประมาณ 1,000 ตัว ซึ่งมีคนนำมาถวายวัด หรือเอามาปล่อยไว้ แม้จะไม่ทำอันตรายแต่ชอบใช้จมูกดมหรือดุนหาของกินในกระเป๋าของนักท่องเที่ยวอาณาบริเวณของสวนขว้างถึง 5.25 ตารางกิโลเมตร ถือว่าเป็นสวนสาธารณะที่กว้างที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ในสวนร่มรื่นด้วยพันธุ์ไม้ขนาดใหญ่ เช่น กิงโกะ สน เมเปิล โอ๊ก ในช่วงก่อนฤดูใบไม้ผลิ ดอกบ๊วย ดอกท้อ สีขาวและสีชมพู จะบานสะพรั่ง ส่วนฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ต้นกิงโกะสีเหลืองสลับกับสีแดงส้มสดของใบเมเปิล พร้อมด้วยฝูงกวางเดินหาลูกไม้กินในสวน เป็นภาพที่จะหาพบได้ที่นาราเท่านั้น
วัดโคฟุคุ จิ (Kofukuji)
วัดนี้ตั้งอย่ในสวนด้านตะวันตกเป็นวัดประจำตระกูลของสกุลฟูจิวาระ ซึ่งเป็นขุนนางที่มีอิทธิพลมากในสมัยนั้น แต่เดิมในวัดมีอาคารทั้งหมด 175 หลัง แต่ได้รับความเสียหายจากไฟไหม้และสงครามกลางเมือง เหลือรอดมาไม่กี่สิบหลัง ภายในวัดมีเจดีย์ไม้ 2 หลัง หลังแรกความสูง 3 ชั้น สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1686 หลังที่ 2 ความสูง 5 ชั้น สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1969 สำหรับเจดีย์หลังนี้สูงเป็นอันดับ 2 รองจากเจดีย์ของวัดโทจิในเกียวโต ซึ่งเป็นเจดีย์ไม้ที่สูงที่สุดในประเทศญี่ปุ่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง
วัดโทไดจิ (TOdai Ji)
ถัดขึ้นมาตอนบนเป็นที่ตั้งของวัดสำคัญที่สุดของนารา ทางเข้าวัดมีซุ้มประตูใหญ่ มีเสาถึง 18 ต้น รองรับหลังคา ถือเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นงามสมัยคามาคุระ วัดนนี้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1286 สิ่งสำคัญล้ำค่าของวัดคือพระไวโรจนะ ขนาดสูง 16 เมตร หนัก 500 ตัน นับว่าเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยสัมริดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ประดิษฐานในไดบุตสึเต็ง หรือที่เรียกว่าวิหารหลวงพ่อโต ซึ่งหลังเดิมถูกไฟไหม้และสร้างขึ้นมาใหม่ถึง 2 ครั้ง วิหารหลังปัจจุบันนี้มีขนาดเพียง 2 ใน 3 ของหลังเดิมเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังได้ชื่อว่าเป็นวิหารไม้ขนาดใหญ่โตที่สุดในโลก จุดเด่นอยู่ที่การใช้ซุงขนาดใหญ่มาตวมกันเป็นเสาค้ำยัน บริเวณหลังวัดปลูกต้นเมเปิลไว้เป็นจำนวนมาก เป็นอีกแห่งที่น่ามาชมใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง
หอกุมภาพันธ์และหอมีนาคม
ด้านตะวันออกของวิหารหลวงพ่อโตมีวัดอีก 2 แห่งคือ หอมีนาคม ซังงัตสึโดะ (Sangatsudo) และหอกุมภาพันธ์ นิงัตสึโดะ (Nigatsu do) ตั้งอยู่บนเนินสูง ทุกวันที่ 13 มีนาคมในยามค่ำคืนจะจัดงานเล่นไฟรับน้ำโดยให้พระถือคบเพลิงไม้สนวิ่งแกว่งให้สะเก็ดไฟแตกก่อน เป็นการต้อนรับฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะมาึถง